• อาทิตย์. ก.ย. 14th, 2025

ชาวบ้านศรัทธาเลื่อมใสในคำสอนของหลวงพ่อเมือง ถึงตัวไม่อยู่ยังเข้าไปอุปัฏฐากวัดเช่นเดิม

กาฬสินธุ์ ชาวบ้านศรัทธาเลื่อมใสในคำสอนของหลวงพ่อเมือง ถึงตัวไม่อยู่ยังเข้าไปอุปัฏฐากวัดเช่นเดิม

สั่นสะเทือนวงการสงฆ์อีกครั้ง คราวนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อพระโพธิญาณมุนี หรือหลวงพ่อเมือง พลวฑโฒ เจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมวาส บ้านดงเมือง ตำบลลำพาน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ วัย 79 ปี 59 พรรษา ที่จะครบวันเจริญอายุวัฒนมงคล 80 ปี ในวันที่ 29 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ได้กราบลาสิกขาไปแล้วเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ทำเอาชาวกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะลูกศิษย์และโยมอุปัฎฐากต่างเสียดายพระนักพัฒนาที่สร้างความเจริญให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะการสร้างองค์พระมหาเจดีย์วัดป่ามัชฌิมวาสที่คาดว่าเป็นพระมหาเจดีย์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยให้ลูกหลานได้กราบไหว้ตราบชั่วอายุคน

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ลูกศิษย์ได้โพสต์ ขอบพระคุณหลวงพ่อเมือง หลังเพิ่งทราบข่าวว่าพระโพธิญาณมุนี (หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ) เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมวาส ได้ลาสิกขาแล้ว และได้เดินทางออกจากวัดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ตามหนังสือวัดมัชฌิมวาส ที่ มช.13/2568 ลงวันที่ 11 กันยายน 2568 โดยมีพระประทิน อัคคธัมโม ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมวาส ส่งเรื่องแจ้งเจ้าคณะตำบลลำพาน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียบร้อยแล้ว ทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดสะเทือนวงการสงฆ์เมืองกาฬสินธุ์

ต่อมาเมื่อลูกศิษย์ทราบเรื่องดังกล่าว ก็ได้โพสต์ผ่านทางเฟสบุ๊กว่า ขอบพระคุณท่านที่ทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ทิ้งไว้บนแผ่นดินกาฬสินธุ์ ถึงกายหยาบท่านจะถูกตัดสิน แต่กายทิพย์เจิดจรัส บนแผ่นดินพระศรีรยเมตรไตร พระพุทธศาสนาตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ หลังจากนั้นก็มีคณะลูกศิษย์มาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ต่างมีความคิดเห็นเป็นแนวทางเดียวกันว่า เศร้าสุดๆ, ท่านทำคุณประโยชน์แห่งพุทธศาสนาและชาวกาฬสินธุ์มากมาย บุญย่อมเป็นบุญ, ดูข่าวท่านสึกแล้วใจหายเกิดอะไรขึ้น, ท่านรอสร้างบุญใหญ่ให้จารึกไว้ในแผ่นดินไทยค่อยลาสึกขา, น้อยคนจะอายุยืนได้ สุขภาพแข็งแรงได้ขนาดนี้ เพราะอยู่ในธรรมะวินัย

ล่าสุดวันนี้ (13 กันยายน 2568) ผู้สื่อข่าวพิเศษประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ลงพื้นที่ไปยังวัดป่ามัชฌิมวาส บ้านดงเมือง ตำบลลำพาน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ พบมีพุทธศาสนิกชนยังเดินทางเข้ามากราบสักการะขอพรในองค์พระมหาเจดีย์วัดป่ามัชฌิมวาสอย่างบางตา จะเห็นว่าเก้าอี้ที่ใช้เป็นอาสนะของหลวงพ่อเมืองยังตั้งอยู่จุดเดิม ที่ปกติแล้วช่วงบ่ายจะมาโปรดให้ญาติโยมได้กราบไหว้ทุกวัน และยังมีอัฐบริขาร ประกอบด้วย ผ้าจีวร บาตร ฯลฯ ตั้งไว้ในชั้น 1 ขององค์พระมหาเจดีย์ฯ ไม่พบหลวงพ่อเมืองอยู่ในวัดแล้ว

น้องแพร นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จ.มหาสารคาม บอกว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่นี่ ได้ขึ้นไปชั้นสูงสุดขององค์พระมหาเจดีย์ ได้ชมวิวด้านบนบรรยากาศดีมาก มองเห็นรอบๆ 360 องศา ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก ยังไม่ทราบข่าวว่าหลวงพ่อท่านลาสิกขาแล้ว เสียดายที่มาแล้วไม่ได้กราบหลวงพ่อ

ด้านคุณแม่สงค์ (เสื้อสีม่วง) บอกว่า เป็นโยมอุปัฎฐากที่วัดแห่งนี้ ประมาณ 10 กว่าปีแล้ว พอทราบข่าวที่หลวงพ่อเมืองลาสิกขาก็เป็นปกติ เพราะเลื่อมใสท่านอยู่แล้ว ก็จะเข้ามาดูแลวัดอยู่เหมือนเดิม เคยทำอย่างไรก็ทำแบบนั้น การตักบาตรทุกวันอาทิตย์ก็ยังมีเหมือนเดิม ศรัทธาท่าน เพราะเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานของท่าน ส่วนตัวก็เป็นห่วงท่านอยู่เช่นกัน

คุณแม่ดวงจันทร์ (เสื้อขาวใส่แว่นสายตา) บอกว่า วัตถุมงคลที่ห้อยคอติดตัวไว้ตลอดก็จะเป็นเหรียญของหลวงพ่อเมือง ตั้งแต่ตนเองมาบวชชีครั้งแรกที่นี่ แล้วเพิ่งสึกออกไป แต่กลับมาทำขันบูชาหลวงพ่อตลอด พอทราบข่าวแล้วก็รู้สึกว่าไม่อยากให้ท่านสึก ศรัทธาท่านมาก ในสิ่งที่ท่านปฏิบัติดี สอนดี คิดว่าเหตุการณ์ของสีกาบีน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งท่าน เพราะตลอดเวลาที่มาอยู่กับหลวงพ่อไม่เคยมีสิ่งแบบนี้เกิดขึ้น ก็นำหลักธรรมคำสอนจากท่านไปปฏิบัติมาใช้ก็เจริญขึ้น ครอบครัวดีขึ้น ก็เลยเทียวมาแต่งขันบูชาท่านเหมือนเดิม ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ใจเราอยากให้ท่านเป็นหลวงพ่อเหมือนเดิม อยากให้ท่านพาสร้าง พาทำ พาสวดมนต์ สวดภาวนา ยังคิดว่าอยากเข้ามาบวชชีอีก บารมีท่านสูงจนทำให้มหาเจดีย์แห่งนี้สร้างเสร็จได้ จึงขอฝากเชิญชวนญาติโยมมาทำบุญเหมือนเดิม เพราะเจดีย์แห่งนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธ ถึงหลวงพ่อไม่อยู่ทุกคนยังศรัทธาอยู่เหมือนเดิม มาเหมือนเดิม

ด้านคุณยายเพชร อายุ 82 ปี (ใส่เสื้อคอกระเช้า ขายกล้วยหน้าบ้าน) ชาวบ้านดงเมือง บอกว่า เข้าไปวัดทุกวัน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ จะเข้าไปทำความสะอาดในมหาเจดีย์ตลอด วันนี้น้อยใจว่าหลวงพ่อลาสิกขาแล้วก็เลยไม่ไป นั่งคิดว่ามันไม่ใช่ความจริง เพราะหลวงพ่อเป็นคนมีบุญ มีวาสนาสูง สร้างอะไรก็ไม่เคยไปขอใคร มาด้วยตนเอง ทีละแสนสองแสน อย่างชาวบ้านท่านก็ไม่เคยมาขอเลย แล้วแต่ศรัทธา จะไปทานก็ไป พอทราบข่าวว่าหลวงพ่อสึกก็รู้สึกเสียใจ ยังคิดเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการมาใส่ร้ายท่าน จากคนไม่หวังดี เพราะมีคนอยากได้มาอยู่เป็นเจ้าอาวาสแทนท่าน เพราะเห็นศาสนาสถานต่าง ๆ ที่หลวงพ่อสร้างขึ้น หลวงพ่อสร้างตัวเองไม่ได้สร้างยังอยากจะมาได้ของท่านอีก ก็เลยสร้างเรื่องขึ้นมาให้ท่านได้รับความเสียหาย หลวงพ่อไม่ใช่คนธรรมดา หายตัวได้ด้วย ถึงหลวงพ่อไม่อยู่คนก็ไปทำบุญเข้าวัดเช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเมือง นับเป็นพระเถระชื่อดัง แต่ได้ถูก “สีกาบี” ยื่นฟ้องต่อเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ว่า หลวงพ่อเมือง ได้กระทำความผิดวินัยบัญญัติในเรื่องการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยว่าต้อง อาบัติปฐมปาราชิก (เสพเมถุนธรรม) และนิคหกรรมตามที่จะลงแก่พระภิกษุเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งสีกาบี ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2559

ทั้งนี้ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ทิ้งไว้บนแผ่นดินกาฬสินธุ์ที่ลูกศิษย์กล่าวถึง คือ “มหาเจดีย์วัดป่ามัชฌิมวาส” (วัดดงเมือง) บ้านดงเมือง หมู่ 13 ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ก่อสร้างมาแล้ว 11 ปี โดยมี “พระโพธิญาณมุนี” หรือ หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ เป็นเจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมวาส สังกัด ธรรมยุติกนิกาย ท่านเกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2489 อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 ปัจจุบันอายุ 79 ปี 59 พรรษา

“มหาเจดีย์วัดป่ามัชฌิมวาส” มีมูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ฐานเส้นผ่าศูนย์กลาง 90 เมตร สูง 138 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัท สยาม มัลติ คอน จำกัด หรือ “SMC”, บริษัท ทรัสตี้ โปรเจค แมเนจเมนต์ จำกัด และบริษัทในเครือ เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2557 หลายๆ คนบอกว่าขนาดพระมหาเจดีย์วัดป่ามัชฌิมวาส ขนาดความยิ่งใหญ่น่าจะสูงที่สุดในประเทศไทย

อย่างไรก็ตามระหว่างที่ผู้สื่อข่าวกำลังถ่ายภาพไปยังยอดองค์พระมหาเจดีย์ ก็พบว่าก้อนเมฆค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากพระอาทิตย์ เกิดเป็นพระอาทิตย์ทรงกรด ทำให้ผู้สื่อข่าวขนลุกสาธุในใจว่าวันนี้ได้มานำเสนอเรื่องราวด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในฐานะสื่อมวลชน ให้ประชาชนได้รับรู้อีกด้าน เพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้แสดงความคิดเห็นถึงความศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อเมือง เท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใดเลย